วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553



ว่านหางจระเข้

ชื่อทั่วไป : ว่านหางจระเข้
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Aloe barbadensis Mill.
วงศ์ : Liliaceae
การปลูก : ว่านหางจระเข้ปลูกง่าย โดยการใช้หน่ออ่อน ปลูกได้ดีในบริเวณทะเลที่เป็นดินทราย และมีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ดี จะปลูกเอาไว้ในกระถางก็ได้ ในแปลงปลูกก็ได้ ปลูกห่างกันสัก 1-2 ศอก เป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก แต่ต้องมีการระบายน้ำดีพอ มิฉะนั้นจะทำให้รากเน่าและตาย ว่านหางจระเข้ชอบแดดเรไร ถ้าถูกแดดจัดใบจะเป็นสีน้ำตาลแดง
ส่วนที่ใชัเป็นยา : วุ้นจากใบ
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา : เก็บในช่วงอายุ 1 ปี
รสและสรรพคุณยาไทย : รสจืดเย็น โบราณใช้ทาปูนแดงปิดขมับใช้แก้ปวดศีรษะได้
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ : วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น Aloe-cmidin, Aloesin, Aloin, สารประเภท glycoprotein และอื่นๆ ยางที่อยู่ในว่านหางจระเข้มีสาร anthraquinone ทีมีฤทธิ์ขับถ่ายด้วย ใช้ทำเป็นยาดำ มีการศึกษาวิจัยรายงานว่า วุ้นหรือน้ำเมือกของว่านหางจระเข้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และแผลในกระเพาะอาหารได้ดี เพราะวุ้นใบมีสรรพคุณรักษาแผลต่อต้านเชื้อแบคทีเรียช่วยสมานแผลได้ด้วย
และยังนำมาพัฒนารูปแบบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทั้งทางด้านยาและเครื่องสำอางค์ แชมพูสระผม อีกด้วย


สรรพคุณและวิธีใช้ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ มีความลี้ลับอะไรอยู่หรือ แม้ว่าผู้คนจะนิยมใช้ว่านหางจระเข้กันมาแต่โบราณ แต่สรรพคุณของว่านหางจระเข้ก็ยังมีม่านแห่งความ ลี้ลับปกคลุมอยู่มาตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนาน ผู้เปิดม่านความลี้ลับของว่านหางจระเข้ด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ดร.โซเอดะ โมโมเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิชีวนะสารที่มี ชื่อเสียงของญี่ปุ่น ดร.โซเอดะ เริ่มศึกษาวิจัยว่านหางจระเข้เมื่อ พ.ศ. 2540 โดยเธอได้นำ สารละลายของว่านหางจระเข้มากรอง แล้วนำไปแช่แข็ง จากนั้นก็สกัดให้เป็นผง แล้วจึงสกัดอีกครั้งด้วยน้ำและแอลกอฮอล์ แล้วตรวจวัดทันที ก็พบมีสารตกตะกอนหลายชนิด หนึ่งในผลงานศึกษาของเธอคือ ได้ค้นพบสารใหม่ที่ออกฤทธิ์ของยาของว่านหางจระเข้อีกครั้ง ซึ่งแต่เดิมทราบกันแต่ว่าว่านหางจระเข้มีสารอยู่สองชนิดคือ สารอะโลอิน กับสารอะโลไอโมติน แต่ดร.โซเอดะได้ค้นพบสารใหม่อีก 3 ชนิด สารหนึ่งในสามนี้คือ อะโลติน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา อีกชนิดหนึ่งคือ สารอะโลมิติน มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และสารชนิดสุดท้ายคือ สารอะโลอูรซิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยสมานแผล

การปลูกว่านในเชิงประสบการณ์

การปลูกว่านที่จะให้ผลผลิตดี มีใบที่ เนื้อแน่น และอวบ แต่แข็งแรงนั้น จะใช้หลักประสบการณ์ควบคู่ไปกับหลักวิชาการ เรียกได้ว่า เป็นวิธีการของชาวบ้านที่ไม่เน้น ไม่เคร่งตามแบบหลักวิชาการจนเกินไป
ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีการปลูกว่านอยู่หลายอำเภอ แต่ที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตค่อนข้างดี เช่น ในอำเภอเมือง ที่หมู่บ้านคั่นกระได ตำบลอ่าวน้อย และที่นิคม
ยกตัวอย่างการปลูกว่านตามหลักปะสบการณ์เช่น ตามหลักของนายณรงค์ ศรีสุทานันท์ ที่หมู่บ้านคั่นกระได ตำบลอ่าวน้อย ปลูกว่านหางจระเข้มานานหลายปี และได้ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่าวในการปลูกแต่ไม่เน้นหลักวิชาการมากเกินไป กาบว่านของนายณรงค์ จะมีขนาดใหญ่ อวบ เนื้อแน่น และผลผลิตที่ได้จะส่งเข้าโรงงานเพื่อนำไปแปรรูปเป็นว่านหางจระเข้กระป๋อง ส่งออกทั้งในประเทศและนอกประทศ เคยมีผู้ซื้อจากต่างจังหวัดคือจังหวัดราชบุรีมาขอซื้อพันธุ์ว่านหางจระเข้ เพื่อนำไปเพาะพันธุ์ และซื้อใบว่านเพื่อส่งโรงงาน ยังมีผู้ซื้อจากประเทศญี่ปุ่นมาดูขนาดของต้นว่าน และซื้อไปเพื่อแปรรูป

ข้อควรระวังในการใช้ว่านหางจระเข้

ผู้ใช้ว่านหางจระเข้ครั้งแรก

ก. สำหรับบาดแผล ก่อนใช้ต้องนำว่านหางจระเข้ไปลวกน้ำร้อนก่อน ผู้ที่มีผิวบอบบาง ให้ใช้เฉพาะส่วนเนื้อวุ้นที่มีฤทธิ์ระคายเคืองค่อนข้างน้อย
ข. ถ้ากินว่านหางจระเข้แล้วอาเจียนและท้องร่วง ควรลดปริมาณลง และถ้ากิน 1 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่หาย ก็ควรหยุดกิน
ค. ผู้ป่วยที่ร่างกายแข็งแรง ให้กินในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหาร ส่วนผู้ป่วยที่ร่างกาย อ่อนแอให้กินหลังอาหาร และผู้ที่กินครั้งแรก ก็ควรกินหลังอาหารด้วย
ง. ควรเริ่มกินในปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนกินได้วันละ 2 ช้อนโต๊ะ
จ. ควรกินตามสภาพสุขภาพร่างกาย เพราะว่านหางจระเข้จะให้สรรพคุณไม่เหมือนกันตามสภาพร่างกายและอาการเจ็บป่วยที่ต่างกัน
ผู้ใช้ว่านหางจระเข้เป็นประจำ

ก. ผู้ที่เกิดอาการลมชัก ควรรีบพาไปให้แพทย์ตรวจรักษา อย่าให้กินว่านหางจระเข้
ข. สตรีในช่วงที่มีรอบเดือนหรือตั้งครรภ์ จะมีเลือดคั่งอยู่ในมดลูกง่าย ทางที่ดีจึงควรเลี่ยงไม่ใช้ว่านหางจระเข้
ค. น้ำคั้นจากใบว่านสดที่แช่ไว้ในตู้เย็น หากมีสีเปลี่ยนไปก็ไม่ควรใช้อีก
ง. ใบว่านไม่ว่าจะเป็นใบสด น้ำคั้นหรือน้ำว่านต้ม ก็ใช้กินได้เป็นประจำ ซึ่งใบสดจะให้ผลดีกว่า
จ. ว่านหางจระเข้ไม่มีฤทธิ์เสพติด จึงใช้ต่อเนื่องได้ โดยไม่ต้องกินมากขึ้นเรื่อยๆ
สรุป
การใช้ว่านหางจระเข้ เป็นที่นิยมใช้อย่างมากจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จนถึงแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ในหลายประเทศ ทั้งในทวีปยุโรปและอเมริกา ก็ได้ให้ความสนใจพืชชนิดนี้เป็นอย่างมาก เพราะสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ของว่านหางจระเข้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ว่านหางจระเข้กลับมาเป็นที่นิยมอย่างมาก นอกจากสรรพคุณที่เรารู้จักกันในการรักษาแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือแผลไฟไหม้แล้ว ว่านหางจระเข้ยังมีสรรพคุณอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ อาทิเช่น รักษาผิวพรรณ รักษาแผลเป็น บำรุงร่างกาย ฯลฯ
ถึงแม้ว่า ว่าหางจระเข้จะมีประโยชน์อย่างมหัศรรษ์ แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังในการใช้ ก็อาจทำให้เกิดโทษได้เช่นกัน จึงควรศึกษาสรรพคุณในการรักษาต่างๆ ปริมาณที่ใช้ ตลอดจนระมัดระวังในการใช้ หรือปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้ เพราะจะทำให้เราได้รับประโยชน์จากว่านหางจระเข้อย่างสูงสุด และไม่ก่อให้เกิดโทษ
ที่มา ; www.thaigoodview.com/library/studentshow/

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553






ช้างไทย


สัตว์บกสี่เท้าร่างใหญ่สง่ากล้าหาญ
ทนงานหนักเคยได้รับเกียติสูงให้เป็น
พาหนะยามออกศึกของพระมหากษัตริย์
ไทยในอดีตและเป็นสัตว์คู่บุญพระบารมี
อีกด้วยสมัยหนึ่งภาพของสัตว์นี้เคยปรากฏ
เด่นเป็นสีขาวบนผืนธงชาติสีแดงของไทย
นอกจากนี้ส่วนหัวเมื่อประกอบเข้าเป็น
สามเศียรก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของตรา
แผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวชื่อของมันได้รับ
การกล่าวถึงในสุภาษิตและคำพังเพยไทย
หลายความหมายมาจนถึงทุกวันนี้สัตว์ที่
ยิ่งใหญ่นี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าคือ ช้าง



ลักษณะและธรรมชาติของช้าง

ช้างเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นสัตว์แข็งแรงมีกำลังมาก มีขาใหญ่ 4 ขา พื้นเท้าอ่อนนุ่มเมื่อช้างเดินจึงไม่ใคร่ไดยินเสียง ส่วนการนอนของช้างนั้นโดยธรรมชาติแล้ว ช้างจะนอนตะแคงตัวลำตัวกับพื้น และมีการหาวนอนและนอนกรนเช่นเดียวกับมนุษย์ ตามปกติช้างจะนอนหลับในระยะเวลาสั้น เพียง 3-4 ชั่วโมง เวลานอนอยู่ในระหว่างเวลา 23.00 นาฬิกาถึง 03.00นาฬิกา ช้างไม่นอนกลางวันนอกจากมีอาการไม่สบาย
งวงช้างคือ จมูกของช้าง ยาวถึงพื้น ใช้หายใจและจับดึงยกลากสิ่งของต่าง ๆ ได้ และใช้หยิบอาการเข้าปาก ปลายงวงมีรูสองรู กลวงตลอดความยาวงวงช้าง งวงช้างไม่มีกระดูกอยู่ภาพใน จึงอ่อนไหวและแกว่งไปมาได้ง่าย งวงนี้ใช้อมน้ำและพ่นน้ำเล่นได้ เมื่อช้างจะดื่มน้ำจะใช้งวงดูดน้ำข้าไปเก็บไวในงวงก่อนแล้ว
จึงพ่นน้ำจากงวงเข้าในปากอีกทีหนึ่งงาช้างเป็นสิ่ง
ที่สวยงามและมีราคามากที่สุดในตัวช้าง งาช้างก็คือฟันหน้าหรือเขี้ยวของช้าง งอกออกจากขากรรไกรบนข้างละอัน งาช้างทั้งคู่มีสีขาวนวล เริ่มโผล่ใหเห็นเมื่อมีอายุประมาณ 2-5 ปี งาช้างที่สวยงามจะต้องมีความโค้งเรียบสม่ำเสมอจนเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม ช้างใช้งาเป็นอาวุธป้องกันตัวต่อสู่กับสัตว์ร้าย

นัยน์ตาช้างมีตาเล็กมาก
เมื่อเทียบกับรูปร่างอันสูงใหญ่ แต่ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนดี และเห็นไดแต่ไกลใบหู
มีลักษณะคล้ายพัด โบกไปมาอยู่เสมอ เมื่อช้างกางใบหูออกจะได้ยินเสียงจากที่ไกล ๆ ได้ดีขึ้น ช้างที่มีอายุมากใบหูจะม้วนลงมาและขอบล่างมักเว้าแหว่ง การเว้าแหว่งของขอบล่างใบหูอาจใช้คาดคะเนอายุของช้างได้อย่างคร่าว ๆ ถ้าใบหูเว้าแหว่งน้อยก็แสดงว่าอายุยังน้อย ถ้าเว้าแหว่งมากก็หมายถึงอายุมากหาง

หางช้าง

มีลักษณะกลมยาวเรียวลงไปถึงเข่า ที่ปลายมีขนเส้นโตสีดำ ยาวประมาณ 4-6 นิ้ว เรียงเป็น 2 แถว ตลอดความยาวของหางประมาณ 6-7 นิ้ว

เล็บ

จำนวนเล็บช้างมีนิ้วเท้าสั้นที่สุดจนเห็นแต่อุ้งเท้า มีเล็บโผล่ให้เห็นเป็นบางเล็บ ส่วนมากมี 18 เล็บ คือเท้าหน้าข้างละ 5 เล็บ เท้าหลังข้างละ 4 เล็บ บางตัวมี 16 บางตัวมี 20 เล็บ

ความฉลาดของช้างไทย

ช้างไทย เป็นช้างเอเชีย ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว สามารถนำมาฝึกใช้ในการใช้งาน ให้ทำตามคำสั่ง ของมนุษย์ได้สรีระของช้างไทย ซึ่งเป็นช้างเอเชีย มีศรีษะ ใหญ่มีมันสมองมาก ทำให้ช้างที่นำมาจากป่า เพื่อนำมาเลี้ยง เป็นช้างบ้านมีความสลาด สามารถสื่อสารกับมนุษย์ ผู้นำมาฝึกคนเลี้องช้าง ควาญช้าง โดยเฉพาะที่เป็นชาวไทยกูยหรือส่วย แห่งจังหวัดสุรินร์ จะมีความชำนาญ ในการฝึกช้างเป็นพิเศษช้างไทย จัดเป็นสัตว์บก ขนาดใหญ่ ที่สามารถ สื่อสารกับมนุษย์ได้กับภาษา พูดของมนุษย์ และอากัปกิริยา อาการ ที่สื่อสาร เข้าใจกันได้



ที่มา:(http://thaibrown2000.8m.com/)












ประวัติหมีเเพนด้า


เนื่องจากในสมัยดึกดำบรรพ์ แพนด้ายักษ์ หรือ ต้าสงเมา มีอยู่มากมาย กระจายตามถิ่นต่างๆทั่วประเทศจีน ในบันทึกเรื่องเกี่ยวกับแพนด้าของจีน จึงมีคำเรียกสัตว์ชนิดนี้ ในภาษาจีนแตกต่างหลากหลาย อาทิ ‘ผี’หรือ‘ผีซิ่ว’(ชื่อที่เรียกในสมัยโบราณ) ‘ไป๋สง’(หมีขาว) ‘ฮัวสง’(หมีลาย) ‘จู๋สง’(หมีไผ่) บางถิ่นเรียกแตกต่างออกไป เช่น แถบเทือกเขาหมินซันบริเวณถิ่นที่อยู่ของชนชาติทิเบต เรียก ‘ตั้ง’ หรือ ‘ตู้ต้งก่า’ แต่ชนชาติอี๋แถบเทือกเขาเหลียงซัน เรียก ‘เอ๋อชีว์’ เป็นต้น
熊猫 (สงเมา) คำเรียกแพนด้าในภาษาจีนกลาง ‘สง’แปลว่า หมี ‘เมา’แปลว่า แมว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ailuropoda melanoleuca แปลว่า สัตว์ที่มีลำตัวเป็นสีขาวดำ มีเท้าเหมือนแมว
‘สงเมา’ (แมวที่เหมือนหมี) เป็นคำเรียกในปัจจุบัน แต่จริงๆแล้ว ช่วงจีนก่อนยุคปลดแอกได้เคยเรียกแพนด้าว่า ‘เมาสง’(หมีที่เหมือนแมว)มาก่อนนะจ๊ะ 猫熊(เมาสง) เป็นศัพท์บัญญัติขึ้นในช่วงประวัติศาสตร์จีนยุคปัจจุบัน หมายถึง สัตว์ที่มีหน้าตากลมๆอ้วนๆคล้ายแมว แต่รูปร่างใหญ่คล้ายหมี จนบางคนถึงกับจัดมันให้อยู่ในประเภทเดียวกันกับหมี
เนื่องจากคนจีนในสมัยก่อนเวลาเขียนหนังสือจะเขียนตัวอักษรไล่จากบนลงล่างตามแนวตั้ง และอ่านจากแถวขวาไปซ้าย ซึ่งแตกต่างจากการเขียนในปัจจุบัน ที่เรียงตัวอักษรตามแนวนอน และอ่านจากซ้ายไปขวา มีครั้งหนึ่งเมื่อพิพิธภัณฑ์เป่ยเป้ย ในมณฑลซื่อชวน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแพนด้าในประเทศจีน ได้จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าเมาสงนี้ และได้เขียนคำอธิบายตามแบบการเขียนในปัจจุบัน แต่บังเอิญมีผู้เข้าชมคนหนึ่งแกติดนิสัย การอ่านหนังสือแบบจีนรุ่นเก่า เลยอ่าน ‘เมาสง’ เป็น ‘สงเมา’ เสียนี่ ตั้งแต่นั้นจึงเรียกติดปากกันต่อๆมาอย่างผิดๆนี่แหละ
อย่างไรก็ตามจะแมวหมีหรือหมีแมว นักชีววิทยาก็จัดแพนด้าอยู่ในสัตว์ประเภทหมี ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ประเภทเดียวกับแมวจ้า


ลักษณะเด่น
ลักษณะที่โดดเด่นของ หมีแพนด้า คือมีขนสีดำและสีขาว บริเวณหัว คอ ตะโพก จะมีสีขาว ส่วนรอบๆตาทั้งสองข้าง หู ไหล่ ขาหน้า และขาหลังจะมีสีดำ หัวของหมีแพนด้า จะใหญ่เมื่อเทียบกับสัดส่วนของตัว กว่าหมีชนิดอื่นๆ เท้าหน้ามี 6 นิ้ว พร้อมที่จะกางกว้างออกเมื่อปะทะกัน หรือปีนต้นไม้


ขนาด
หมีแพนด้าเพศผู้ขนาดตัวโตเต็มที่ สูงประมาณ 160-190 ซม. จะสูงกว่าเพศเมียเล็กน้อย มีขาหน้าที่แข็งแรง และหนัก 85-125 กก. เพศเมียหนัก 70-100 กก. ลูกหมีเพิ่งคลอดหนักเพียง 85-140 กรัม


ถิ่นที่อยู่
หมีแพนด้าจะอาศัยอยู่ที่ระดับสูง 1200-3500 เมตร ในป่าเขา ซึ่งมีต้นไม้ไผ่ขึ้นหนาแน่น เเละจะพบหมีแพนด้าเพียงตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แนวเขตที่ราบสูงของ ทิเบต ใน 6 พื้นที่เล็กๆ ของจังหวัด Sichuan Gansu และ Shaanzi รวมแล้วมีพื้นที่เพียง 14000 ตร.กม.

อาหาร
อาหารของหมีแพนด้า 99% จะมาจากต้นไผ่ ตัวโตเต็มที่ จะกิน 12-15 กก./วัน แต่ถ้าเป็น ต้นหรือใบอ่อนของต้นไผ่ หมีแพนด้าสามารถกินได้ถึง 38 กก/วัน ซึ่งหนักถึง 40%ของน้ำหนักตัวมันเอง และอาหารอีกที่เหลือ จะเป็นพืชชนิดอื่นๆ รวมทั้งเนื้อด้วย ส่วนมาก หมีแพนด้าจะกินอาหารที่พื้น บางครั้งถึงจะปีนขึ้นไป กินอาหารบนต้นไม้

การสืบพันธุ์
หมีแพนด้าพร้อมที่จะขยายพันธุ์เมื่ออายุ 4.5-6.5 ปี จะจับคู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นเดือน มี.ค.-พ.ค.เพศเมียมีช่วงเวลาพร้อมที่จะผสมพันธุ์ 1-3 สัปห์ดา และ จะยอมให้มีการผสม 2-3 วันเท่านั้น จำนวนลูกที่คลอดออกมา มีเพียง 1-3 ตัว โดยปกติจะมีชีวิตรอดเพียงตัวเดียว ลูกหมีจะหย่านมเมื่ออายุ 9 เดือน แม่หมีแพนด้าจะคอยดูแลลูกตน จนกว่าจะถึง 18 เดือน



























ประวัติฟุตบอลโลก (World Cup)






เป็นที่ทราบกันดีว่าทุก ๆ 4 ปี มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่และมีผู้ให้ความสนใจทั่วโลกอย่าง "ฟุตบอลโลก" (world cup) จะแวะเวียนมาบรรจบ ให้เพื่อน ๆ ได้ร่วมลุ้นร่วมเชียร์ทีมที่ชื่นชอบ โดย สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า (F.I.F.A.) จะทำการคัดเลือกประเทศที่มีศักยภาพผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ "ฟุตบอลโลก" ซึ่งคราวนี้ในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2010 (พ.ศ.2553) ก็เป็นหน้าที่ของประเทศแอฟฟริกาใต้ที่รับเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน โดย ฟุตบอลโลก 2010 จะเริ่มทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน ถึงวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ เชื่อได้เลยว่าคอบอลทั้งหลายต่างตั้งตารอคอยการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2010 พร้อม ๆ กับท่องจำ ตารางบอลโลก 2010 จนขึ้นใจ อะ ๆ แต่จะมีแฟนพันธุ์แท้ ฟุตบอลโลก ซักกี่คนจำหรือรู้ถึง ประวัติฟุตบอลโลก แบบละเอียดยิบบ้าง เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการตกเทรนด์ กระปุกดอทคอมเลยจะพาเพื่อน ๆ เข้าไปคลุกวงในเปิด ประวัติฟุตบอลโลก กัน ใครอยากรู้ว่าตามเราเข้ามาเลย...

ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโลกฟีฟ่า (FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ โดย ฟุตบอลโลก เริ่มครั้งแรกในปี ค.ศ.1930 (พ.ศ.2473) สำหรับผู้ริเริ่มให้มีการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ครั้งแรกคือ จูลส์ ริเมท์ (Jules Rimet) เป็นชาวฝรั่งเศส โดยได้เสนอในที่ประชุมของประเทศสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) แต่กว่าจะลงตัวและเริ่มจัดขึ้นจริง ๆ คือปี ค.ศ.1930 ซึ่งประเทศที่ได้เกียรติเป็นเจ้าภาพ ฟุตบอลโลก ครั้งแรกได้แก่ ประเทศอุรุกวัย โดยมีประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 13 ชาติ และประเทศอุรุกวัยก็คว้าแชมป์โลกไปครองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะประเทศอาร์เจนตินาไป 4-2 ประตู ทั้งนี้ เพื่อเป็นเกียรติแด่ จูลส์ ริเมท์ ถ้วยรางวัลชนะเลิศจึงใช้ชื่อ "ถ้วยจูลส์ ริเมท์"

จากนั้นก็มีการจัดการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ต่อเนื่องมาทุก 4 ปี โดยครั้งที่ 2 จัดขึ้นในปี ค.ศ.1934 (พ.ศ.2477) ที่ประเทศอิตาลี ผลปรากฏว่าทีมเจ้าภาพก็คว้าแชมป์โลกไปครองได้อีก ด้วยการเอาชนะประเทศเชโกสโลวาเกีย ส่วนครั้งที่ 3 จัดขึ้นในปี ค.ศ.1938 (พ.ศ.2481) ที่ประเทศฝรั่งเศส แต่ประเทศอิตาลียังยอดเยี่ยมคว้าแชมป์โลกไปครองได้อีกสมัย แต่หลังจากฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 การแข่งขันต้องหยุดชะงักไป 12 ปี (ค.ศ.1942, 1946) เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้มาเริ่มแข่งขันครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) โดยประเทศบราซิลรับเป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางความขัดแย้งของหลาย ๆ ชาติ เนื่องจากควันหลงจากสงครามโลกนั่นเอง

ต่อมาในปี ค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) ประเทศบราซิลได้คว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 3 จึงได้สิทธิ์ครอบครอง ถ้วยจูลส์ ริเมท์ (ซึ่งภายหลังได้ถูกขโมยไป) ทางสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติจึงได้จัดทำถ้วยรางวัลขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อว่า "ถ้วยฟีฟ่า" ทำด้วยทองคำ มีความสูง 36 เซนติเมตร มูลค่าประมาณ 4 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ และใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ในปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2524) ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งที่ 12 ทางสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติได้ปรับเปลี่ยนจำนวนทีมเข้าแข่งขันจากเดิม 16 ทีม เป็น 24 ทีม และในปี ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) ต่อมาก็เพิ่มจาก 24 ทีมเป็น 32 ทีม เนื่องจากฟุตบอลเริ่มได้รับความนิยมไปแพร่หลายทั่วโลก แต่ละประเทศมีการพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาก จึงน่าจะมีทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายมากขึ้นตามไปด้วย จนได้ชื่อว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก







รู้จักอินเทอร์เน็ตคาเฟ่


อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เป็นร้านที่ให้บริการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยคิดอัตราค่าบริการเป็นรายชั่วโมง มีตั้งแต่ 15 บาท จนถึง 120 บาทต่อชั่วโมง ตามแต่ลักษณะที่ให้บริการ บรรยากาศของร้านและสภาพการแข่งขันในปัจจุบันมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่จำนวนมากในบริเวณชุมชน หรือที่บริเวณใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย เช่น บริเวณรอบ ๆ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มีร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ถึงสิบกว่าร้าน ลักษณะของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่ให้บริการส่วนใหญ่ มักมีกิจกรรมหรือกิจการอื่นประกอบร่วมด้วย เช่น
1. อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นการร่วมทุนกันของกลุ่มนิสิต นักศึกษา หรือคนหนุ่มสาวที่คิดเป็นเจ้าของกิจการเอง หรือเป็นร้านค้าที่กลุ่มคนหนุ่มสาวดำเนินงาน แต่มีผู้ลงทุนให้ อินเทอร์เน็ตคาเฟ่กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ในขณะเริ่มต้นนั้นอาจไม่มีกิจการอื่นรวมอยู่ด้วย แต่หลังจากดำเนินการได้ระยะเวลาหนึ่ง อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ส่วนใหญ่จะเริ่มมีส่วนของร้านอาหารขนาดย่อมให้บริการอาหาร กาแฟ ขนม และเบเกอรี รวมถึงหนังสือและวารสารเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และยังเป็นการเพิ่มรายได้อีกด้วย การบริการของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ในร้านค้าลักษณะนี้มักเป็นที่ถูกใจผู้ใช้บริการ เพราะความเข้าใจกันระหว่างผู้ประกอบการกับลูกค้ามีมาก
2. อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่ขยายหรือเพิ่มเติมจากกิจการเดิม เช่น โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ หรือร้านซ่อม/ขายคอมพิวเตอร์ก็จะมีบริการในเรื่องของหลักสูตรคอมพิวเตอร์ การรับซ่อม-การขายเครื่องคอมพิวเตอร์ ขายอุปกรณ์ อะไหล่คอมพิวเตอร์ รับพิมพ์รายงาน หรือแม้แต่รับทำการบ้านก็ยังมี ส่วนใหญ่เป็นอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ กับสถาบันการศึกษา
3. อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เป็นบริการเสริม หรือบริการพิเศษสำหรับลูกค้า หรือเป็นบริการพิเศษของหน่วยงานห้างร้านหรือองค์กร เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ตามโรงแรมใหญ่ ๆ หรืออินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่ท่าอากาศยาน ค่าบริการของอินเทอร์เน้ตคาเฟ่ในกลุ่มนี้มักอยู่ในอัตราที่สูง บริการในคาเฟ่
รูปแบบที่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ให้บริการนั้น เป็นบริการที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเชื่อมกับเครือข่ายที่พึงกระทำได้ เช่น จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การถ่ายโอนแฟ้ม การค้นหาข้อมูล การติดต่อสื่อสาร การเข้าใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล อย่างไรก็ตาม บริการที่ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ใช้งานก็ยังคงเป็นการตรวจเช็ค รับ/ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การเข้าเว็บเพื่อสนทนาและเล่นเกมนั่นเอง


บริการพิเศษที่มักพบในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ก็คือ การให้คำปรึกษาในเรื่องของการใช้งาน การให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการใช้ภาษา บริการในส่วนนี้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่หลายแห่งทำโดยไม่คิดหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ และส่วนนี้เองที่ได้ทำให้อินเทอร์เน้ตคาเฟ่บางแห่ง กลายเป็นเสมือนที่นัดหมายของกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไปเสียแล้ว

โครงสร้างของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่
รูปแบบของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เป็นรูปแบบหนึ่งในการเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ส่วนใหญ่มักมีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับขนาดของการประกอบการ ร้านส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพไม่สูง และหลายแห่งได้ใช้วิธีซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หมดสัญญาเช่า เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับให้บริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่โดยเฉพาะ เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงาน คอมพิวเตอร์ภายในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่จะถูกเชื่อมโยงไปยับฮับ (Hub) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมเครือข่าย ก่อนที่จะส่งไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า NAT (Network Address Translator) ที่ทำหน้าที่จัดการกับหมายเลขไอพี เพื่อเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider หรือ ISP) ผ่านทางสายเช่า หรือสายโทรศัพท์ก็ได้ ตามแต่ว่าผู้ประกอบการแต่ละแห่งใช้สื่อประเภทใด หรืออาจเพิ่มส่วนของพร็อกซี่ เพื่อทำให้ประสิทธิภาพของบริการในร้านเพิ่มขึ้นด้วย
ถ้าหากอยากเป็นเจ้าของคาเฟ่
การลงทุนประกอบการเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่นั้นคงประเมินได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากมีปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบอื่น ๆ มีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ในเรื่องของค่าเช่าสถานที่ (ที่อาจมีค่าเซ้ง ค่านายหน้า ค่าตกแต่งและอื่น ๆ อีก) แต่ในส่วนของอุปกรณ์สำหรับประกอบการนั้น สามารถประเมินแบบคร่าว ๆ ได้ดังนี้ หากต้องการประกอบการอินเทอร์เน้ตคาเฟ่ขนาดย่อม หรืออยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีเครื่องคอมพิวเตอร์บริการสัก 8 เครื่อง การลงทุนหากประเมินจะเป็นดังนี้
- เครื่องคอมพิวเตอร์มือสอง หรือเครื่องที่หมดสัญญาเช่า 8 เครื่อง ราคาประมาณเครื่องละ 5,000 บาท (อาจเพิ่มคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นพร็อกซี่เข้าไปอีก 1 เครื่องก็ได้ ลงทุนเพิ่มประมาณ 30,000 บาท)
- อุปกรณ์เครือข่าย (ฮับ NAT สายเช่า/สายโทรศัพท์) ก็ประมาณ 20,000-30,000 บาท ตามแต่คุณภาพและประสิทธิภาพของอุปกรณ์ อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ส่วนใหญ่มักใช้เพียงการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์เพียงสายเดียว สำหรับบริการทั้งหมดของร้าน นอกจากนี้ผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่จำเป็นต้องใช้สมาชิกอินเทอร์เน็ตของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จึงสามารถเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้ ค่าใช้จ่ายในการเป็นสมาชิกนี้ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย เช่น ในช่วงประชาสัมพันธ์อาจเสียค่าบริการเพียง 900 บาทต่อเดือน โดยไม่จำกัดเวลาใช้ ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่ากับการนำมาให้บริการอีกต่อหนึ่ง


การประกอบการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่นี้ ในช่วงเริ่มต้นลงทุนประมาณ 100,000-250,000 บาท แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนไม่มากนักเป็นค่าสาธารณูปโภค (น้ำ ไฟฟ้า โทรศัพท์ และอื่น ๆ) ซึ่งคงไม่เกิน 3,000 บาท หากรวมค่าเช่าร้านก็คงตกประมาณเดือนละ 15,000 บาท ส่วนของรายได้ที่คาดว่าสามารถได้จากการประกอบการนี้ หากทำเลดีอยู่ในแหล่งที่มีผู้คนพลุกพล่าน หรือใกล้สถาบันการศึกษาก็จะมีผู้ใช้งานอยู่ตลอดเวลา (ค่าเช่าสถานที่ก็แพงตามด้วย) โดยส่วนใหญ่แล้วอินเทอร์เน็ตคาเฟ่มักให้บริการตั้งแต่ 10 นาฬิกาถึงเที่ยงคืน หากสมมติให้แต่ละเครื่องมีผู้ใช้งานเฉลี่ยเครื่องละ 8 ชั่วโมง คิดค่าบริการ 25 บาท/ชั่วโมง ก็สามารถสร้างรายได้จากส่วนของค่าบริการอินเทอร์เน็ตถึงวันละ 8x8x25 = 1,600 บาท หรือเดือนละประมาณ 48,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่มากในระดับหนึ่ง ผู้ใดที่คิดจะประกอบการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่จริง ๆ แล้วจำเป็นต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติม และคิดให้รอบคอบว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ หากมีความพร้อมทางด้านสถานที่อยู่แล้ว อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจ ปัจจุบันมีผู้ที่ให้บริการให้คำปรึกษา และช่วยดำเนินการในการเปิดกิจการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่อยู่หลายแห่ง สำหรับผมเองแล้วขอเป็นเพียงผู้ใช้บริการในบางครั้งก็พอแล้ว เพราะที่ใช้ในปัจจุบันก็ฟรีและดีอยู่แล้ว




วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553



เล่น Chat ต้องระวังอะไรบ้าง


เป็นที่รู้กันว่า สำหรับเยาวชน ความน่าหลงใหลของอินเทอร์เน็ต นอกจากจะมีเกมออนไลน์แล้ว ยังมีการพูดคุยกัน หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่าการ แชท (Chat) นั่นเอง
การแชท (Chat) คือการพิมพ์ข้อความคุยกันโดยผ่านโปรแกรมสำหรับแชทโดยเฉพาะ เช่น Pirch, ICQ, Msn Messenger ฯลฯ หรือผ่านห้องสนทนาในเวบไซต์ต่างๆ จุดประสงค์ส่วนใหญ่ของผู้ใช้ มีทั้งการหาเพื่อนคุยแก้เหงา หรือแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในเรื่องที่สนใจเหมือนกัน การแชท จึงมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้ว่าจะเลือกใช้


ประโยชน์จากการสนทนาออนไลน์นี้แบบใด


การพูดคุยหาเพื่อนใหม่ เป็นสิ่งที่ดีถ้าเป็นการคุยเพื่อแก้เหงา หรือคุยในเรื่องที่ชื่นชอบด้วยกัน แต่ถึงแม้จะคุยกันถูกคอแค่ไหน ก็ยังไม่ควรไว้ใจ เพราะเรายังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างไร และเขาสามารถสร้างตัวตนให้เราเชื่อได้ เพียงแค่มีมือ และสมองเท่านั้นเอง หากชอบChat ก็อย่าลืมอันตรายที่อาจมาถึงตัวได้ทุกขณะ จึงมีข้อควรระวังมาฝากกันค่ะ

1.สังเกตให้ดีหากมีคนเข้ามาคุยและ ถามโน่นถามนี่มากๆ โดยไม่บอกอะไรเลย หรือถ้าบอกก็อาจเชื่อถือไม่ได้ คำถามที่โดนถามมักจะเป็นคำถามส่วนตัวมากๆ เช่น ชอบสินค้ายี่ห้อไหน ทีมไหน ขอรูป ขอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ ถามอีเมล์หรือชื่อโรงเรียน จงตั้งข้อสังเกตในแง่ร้ายไว้ก่อน โดยเฉพาะหากคู่สนทนาให้ของกำนัลหรือข้อเสนออะไรดีๆ หรือแสดงท่าทีว่าสนใจคุณมากๆ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุลจริง เบอร์โทรศัพท์หรือรูปถ่ายแก่คนที่เราคุยด้วย เพราะถ้าโชคไม่ดีคนที่เราคุยด้วยเป็นมิจฉาชีพ เขาสามารถนำข้อมูลส่วนตัวเราไปสร้างความเสียหาย หรือเอารูปเราไปตัดต่อได้

2.คนที่เราคุยด้วยอาจขอนัดพบเป็นการส่วนตัว แนะนำว่า ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ อย่านัดเจอเพื่อนที่แชทคุยกัน หรือถ้าจะไปเจอกัน ควรหาเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน เพื่อความปลอดภัย และเผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกันได้

3.ไม่ว่าจะคุยกับใคร อย่าปักใจเชื่อสิ่งที่เขาบอกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา อายุ หรือสถานภาพอื่นๆ เพราะทุกอย่างสามารถสร้างขึ้นได้ และคนที่เราคุยด้วยอาจมีเจตนาไม่ดี อาจจะล่อลวงเราไปทำมิดีมิร้าย อย่างที่ได้ยินข่าวอาชญากรรมจากการนัดหมายออนไลน์ เกิดขึ้นหลายคดี ซึ่งเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี

4.เมื่อพบความผิดปกติในการพูดคุยกัน เช่น มีข้อความที่ส่อไปทางเรื่องเพศ หรือ ขอนัดเจอตามลำพัง ให้ตั้งข้อสงสัย และหาทางหลีกเลี่ยงทันที


เว็บไซต์หลายแห่ง เปิดโอกาสให้Chatได้อย่างปลอดภัย เพราะมีผู้ดูแลรับผิดชอบการคุยในห้องสนทนา ทั้งยังมีโปรแกรมตรวจสอบข้อความที่เด็กๆ พิมพ์หากันด้วย ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการพูดคุยสอบถามกันในเรื่องส่วนตัว ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้ลูกใช้ห้องสนทนาประเภทนี้ และเยาวชนควรท่องจำวิธีการ Chatแบบไม่เสี่ยง ให้ขึ้นใจ ดังนี้CHAT แต่ละตัวอักษรมาจาก:C: Careful จงระมัดระวังคนที่คุยด้วย เขาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอกH: Hang on to your personal information ไม่บอกข้อมูลส่วนตัวA: Arranging to meet [offline] is dangerous ไม่นัดพบกับคนแปลกหน้าT: Tell an adult if you come across something that makes you feel uncomfortable บอกผู้ใหญ่หากเจออะไรที่ไม่ชอบมาพากล

จำไว้ว่า ทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวมันเอง การแชทก็เหมือนกัน ถ้าเราได้เพื่อนดี ก็ดีไป ได้ประสบการณ์ ความรู้ ได้มีสังคมใหม่ๆ แต่ถ้าโชคร้าย เราก็อาจตกเป็นเหยื่อของคนแปลกหน้าได้...อย่างที่โบราณว่าไว้... รู้หน้ายังไม่รู้ใจ แล้วประสาอะไรกับคนที่เรายังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เลย แม้แต่ครั้งเดียว


ทำความรู้จักกับ อีเมล์ (E-Mail) และวิธีการใช้งานในเบื้องต้น



อีเมล์ E Mail หรือ Electronics Mail แปลตรง ๆ ตัวก็คือ ไปรษณีย์อีเลคโทรนิคส์ นั่นเอง ดังนั้น ความหมายง่าย ๆ ของอีเมล์ ก็คือ เป็นเครื่องมือสำหรับติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันโดยที่จากเดิม เราอาจจะใช้วิธีการส่งข้อความ ไปหาผู้อื่นด้วยการเขียนเป็นจดหมาย และส่งผ่านทางไปรษณีย์ แต่ในโลกของอินเตอร์เน็ต จะมีบริการที่เรียกว่า อีเมล์ ซึ่งสามารถทำการส่งข้อความต่าง ๆ ไปยังผู้รับปลายทาง (ที่ใช้บริการอีเมล์) ได้ และในปัจจุบันนี้ ยังสามารถทำการแนบ ไฟล์เอกสาร ของคอมพิวเตอร์ หรือรูปภาพต่าง ๆ ไปอับอีเมล์ได้ด้วย จึงทำให้เพิ่มความ สะดวกสบายได้มากขึ้น หากคุณเป็นผู้หนึ่ง ที่ใช้งานหรือเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว ก็ควรที่จะหาสมัครใช้บริการ อีเมล์ ทิ้งไว้สักชื่อหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็พอที่จะเอาไปอวดใคร ๆ ได้ว่า ฉันก็มีอีเมล์เหมือนกันนะ


โครงสร้างและรูปแบบของชื่ออีเมล์ในเบื้องต้น



ถ้าใครได้เคยเห็นรูปแบบ และชื่อของอีเมล์มาบ้างแล้ว ลองมาทำความเข้าใจกับ ระบบการตั้งชื่ออีเมล์กันก่อน สมมติว่าใครคนหนึ่ง บอกอีเมล์ของเขามาว่า somchai@hotmail.com (อ่านออกเสียงว่า สมชาย-แอต-ฮอทเมล์ ดอทคอม) เครื่องหมาย @ จะออกเสียงว่า "แอต" ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ใช้คั่นอยู่ระหว่าง ชื่อและ server ของอีเมล์นั้น ๆ เสมอ ชื่อของ server ที่ลงท้ายนี้ อาจจะเปลี่ยนไปได้ตามชื่อของ server ที่เปิดให้บริการอีเมล์นั้น ๆ ด้วยเช่น อาจจะลงท้ายด้วย @yahoo.com @thailand.com @mail.com หรืออะไรก็ได้ครับ ที่มีเปิดให้บริการ
ประเภทต่าง ๆ ของอีเมล์ ที่มีเปิดให้บริการฟรี
เว็บไซต์ที่ให้บริการ ฟรีอีเมล์ มีอยู่มากมาย แต่ถ้าหากจะแยกประเภทของการใช้งาน สามารถแยกออกได้เป็น 2 แบบดังนี้
Web Base Mail เช่น อีเมล์ของ hotmail.com, chaiyo.com หรือ email.in.th ซึ่งหากต้องการใช้งานอีเมล์เหล่านี้ จะต้องใช้งานโดยผ่านทางหน้าเว็บเพจเท่านั้น ข้อดีคือ สามารถไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไหนเปิดอ่านอีเมล์นั้นก็ได้ โดยการเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์นั้น ไม่ต้องทำการตั้งค่าต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก แต่อาจจะช้าและเสียเวลานาน ในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์ ขอ้ดีของบริการอีเมล์แบบ Web Base Mail คือ ไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมต่าง ๆ ในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์ ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
POP Mail เช่น yahoo.com จะมีบริการการอ่านอีเมล์แบบ POP Mail ได้ด้วย ซึ่งโดยส่วนมากก็มักจะใช้งานในลักษณะของ เว็บเมล์ได้ด้วย หากเราเลือกใช้งานอีเมล์ที่มีบริการ POP Mail ก็จะทำให้สามารถตั้งโปรแกรมสำหรับ รับ-ส่งอีเมล์ทั่ว ๆ ไปเช่น Outlook ให้ทำการอ่านอีเมล์แบบนี้ได้ และจะเป็นการสะดวกมากกว่าการใช้งานแบบ Web Base Mail มากครับ แต่ก็ต้องทำการตั้งค่าต่าง ๆ ของโปรแกรมที่ใช้รับ-ส่งอีเมล์ก่อน จึงจะใช้งานได้ โดยที่เมื่อทำการต่อหรือเปิดโปรแกรม สำหรับการอ่านอีเมล์ โปรแกรมจะต้องทำการ ดาวน์โหลด อีเมล์ทั้งหมดมาเก็บไว้ใน ฮาร์ดดิสก์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน ทำให้เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ไปบางส่วน แต่ว่าการอ่าน จะสามารถทำได้รวดเร็วและสะดวกกว่าการใช้ Web Base Mail
มาทำความรู้จักความหมายย่อ ๆ ของคำที่เกี่ยวกับเมล์กันก่อน


SMTP (Simple Mail Transfer Protocol)
เป็นโปรโตคอลแบบ TCP/IP ที่ใช้ในการรับส่ง email ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องของความสามารถในการรับส่ง mail ว่ามันสามารถทำได้แบบเป็นคิวเท่านั้น จึงทำให้เกิดโปรโตคอลที่จะมาแก้ไขในเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ POP กับ IMAP แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่า SMTP จะมีข้อจำกัดในการรับ mail แต่สำหรับการส่ง mail หลาย ๆ โปรแกรมก็ยังคงนิยมใช้ SMTP ในการส่ง mail อยู่เช่นเดิม
POP (Post Office Protocol)
เป็นโปรโตคอลที่ใช้รับ mail ซึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็น POP version 3 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า POP3 ซึ่งจะมีการทำงานแบบ Store-and-Forward ซึ่งไม่ควรนำไปสับสนกับ SMTP เพราะ POP จะใช้ในการรับ mail เท่านั้น ส่วน SMTP จะใช้ในการส่ง mail
IMAP (Internet Message Access Protocol)
เป็นโปรโตคอลที่ใช้สำหรับรับ mail จาก server ซึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ IMAP version 4 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IMAP4 ซึ่งจะมีความสามารถในการเลือกเฉพาะ header กับ sender หรือสิ่งที่เราต้องการได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือก download เฉพาะ mail ที่เราต้องการได้ด้วย แต่ IMAP ก็ต้องอาศัยการติดต่อกับ server มากกว่า POP
อินเตอร์เน็ต (Internet)
คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อ TCP/IP ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสาร (เช่น การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail การส่งผ่านเอกสารซึ่งอยู่ในรูปแบบแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์) และการใช้ทรัพยากรร่วมกัน อันได้แก่ ทรัพยากรสารสนเทศ (Information) ทรัพยากรฮาร์ดแวร์ (Hardware) ทรัพยากรซอฟแวร์ (Software) และ ทรัพยากรบุคคล (Peopleware) เป็นต้น เครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าของ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นของทุกคนที่เข้ามาเชื่อมต่อการจัดการเครือข่ายเป็นความร่วมมือซึ่งกันและกัน โดยต่างคนต่างดูแลจัดการเครือข่ายของตนเอง และมีองค์กรกลาง ชื่อ ISOC (Internet Society) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อความร่วมมือและการประสานงานของเครือข่ายและเทคโนโลยีการเชื่อมต่อตลอดจนการประยุกต์ใช้งานของเครือข่ายทั่วโลก องค์กรนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม
อินเตอร์เน็ต เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งเดียว ที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลก เข้าด้วยกันโดยรวมผู้ใช้กว่า 60 ล้านคน เพื่อประกอบกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ การพูดคุยสนทนา การสื่อสารข้อมูลการแลกเปลี่ยนข่าวสารความรู้ การค้าขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ การศึกษาทางไกล ฯลฯ เมื่อครั้งที่อินเตอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้นนั้นไม่มีใครเคยคาดคิดว่ามันจะกลายมาเป็นเครือข่าย ที่มีบทบาทกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน จนถึงขนาดที่กำลังจะปฏิวัติวิธีการดำเนินชีวิตของประชากรโลกในศตวรรษหน้า กล่าวคือเมื่อ 20 ปีก่อน กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้มีมติด่วนให้พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า ARPANET จุดมุ่งหมายคือให้เป็นเครือข่ายที่มีความเชื่อถือได้สูงสามารถที่จะทำงานได้ แม้ภายหลังที่อเมริกาถูกถล่มโดยอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นเทคโนโลยีที่ใช้เชื่อมเครือข่ายต้องมีความสามารถที่จะทำงานกับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่เหลือจากการทำลายของอาวุธนิวเคลียร์ เช่น หากโครงข่ายโทรศัพท์ และ เคเบิลถูกทำลายในบางพื้นที่ เครือข่ายจะยังคงทำงานได้โดยการสลับมาใช้โครงข่ายอื่น เช่น โครงข่ายดาวเทียม หรือวิทยุ เป็นต้น นอกจากนั้นเทคโนโลยีดังกล่าวต้องมีความสามารถในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างประเภทและต่างรุ่นที่มีอยู่ทั่วไปตามฐานทัพต่าง ๆ ในครั้งนั้นการพัฒนาเครือข่าย ARPANET ได้กระทำร่วมกันระหว่างกระทรวงกลาโหมกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานสำคัญ ๆ เช่นองค์การ NASA ทำให้ ARPANET เริ่มเติบโตโดยเริ่มมีการใช้งานมากขึ้นสำหรับการศึกษาและการวิจัย ถึงแม้จะเริ่มมีการพัฒนาเครือข่ายอื่น ๆ เช่น DECNET และ BITNET ขึ้นมาเป็นคู่แข่ง แต่เพราะข้อดีของARPANET ที่เป็นระบบเปิด ไม่จำกัดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทใด ประเภทหนึ่ง หรือ โครงข่ายเชื่อม (Physical Links) แบบใดแบบหนึ่งทำให้มันเอาชนะคู่แข่งและกลายมาเป็นตัวเชื่อมเครือข่ายอื่น ๆ ที่เข้ากันไม่ได้ ให้สามารถคุยกันรู้เรื่อง ด้วยเหตุนี้ทำให้ ARPANET ถูกพัฒนามาเป็นเครือข่ายของเครือข่าย หรือ อินเตอร์เน็ต (internet) ในที่สุด

ข้อดีของการที่เป็นระบบเปิด คือ สามารถใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อได้หลายแบบทั้ง ไมโครเวพ ดาวเทียม โทรศัพท์ เคเบิล ใยแก้วนำแสง หรือแม้แต่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่และสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบใดก็ได้ รวมทั้งยังบริหารง่ายคือ ผู้ใช้ออกค่าใช้จ่ายเฉพาะส่วนของตน ทำให้อินเตอร์เน็ตขยายตัวง่ายในขณะที่ความซับซ้อนของงานไม่เพิ่มขึ้นเท่าใรนัก ความง่ายในการขยายเครือข่ายและการใช้งานได้ทำให้อินเตอร์เน็ต เริ่มได้รับความนิยมนอกประเทศสหรัฐอเมริกาจนกลายมาเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงทั่วโลก

การใช้งานอินเตอร์เน็ตในยุคแรก ๆ ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ ในวงการศึกษาวิจัย และการทหารเป็นหลัก ไม่ได้มีการใช้ในเชิงพาณิชย์ อย่างกว้างขวางเหมือนในปัจจุบันจุดเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1992 นักวิทยาศาสตร์แห่งศูนย์ค้นคว้าวิจัยทางฟิสิกส์ CERN ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการพัฒนาเทคโนโลยีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างศูนย์ลูกข่ายที่ตั้งอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรปให้สะดวกและรวดเร็วขึ้นโดยอาศัยระบบอินเตอร์เน็ตที่มีอยู่เดิม เพียงแต่มีวิธีติดต่อผู้ใช้ (User-Interface) ที่ใช้ง่ายขึ้นเทคโนโลยีดังกล่าวอาศัยพื้นฐานการทำงานที่เรียกว่า Hypertext ที่สามารถเชื่อมโยงเอกสารที่อยู่หลาย ๆ แห่ง ซึ่งอาจอยู่บนคอมพิวเตอร์คนละเครื่องเข้าด้วยกันจนคล้ายกับว่ามีเอกสารอยู่ที่เดียว ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ถูกเรียกว่า HTML (HyperText Mark-up Language) ในเวลาต่อมาได้มีการเชื่อมโยงสื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่เอกสารเช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ฯลฯ จนเกิดเป็นลักษณะของ Hypermedia ขึ้น จากการที่ระบบดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงเอกสารจากหลาย ๆ แห่งเข้าด้วยกัน มันจึงถูกขนานนามว่า World Wide Web (WWW) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า WEB ในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553


ความหมายของอินเตอร์เน็ต

“อินเตอร์เน็ต” มาจากคำว่า International Network เป็นเครือข่ายของการสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกัน
คำว่า “เครือข่าย” หมายถึง
1. การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล (ทางตรง) และหรือสายโทรศัพท์ (ทางอ้อม)
2. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์
3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน
2. หน้าที่และความสำคัญของอินเตอร์เน็ต
การสื่อสารในยุคปัจจุบันที่กล่าวขานกันว่าเป็นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของทุกหน่วยงาน และอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเต็มที่
อินเตอร์เน็ต ถือเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐานการสื่อสารเดียวกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารและสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวมสารสนเทศจากทุกมุมโลก ทุกสาขาวิชา ทุกด้าน ทั้งบันเทิงและวิชาการ ตลอดจนการประกอบธุรกิจต่างๆ
อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย

ประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เน็ตในพ.ศ. 2535 โดยเริ่มที่สำนัก วิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาทีจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2536 เนคเทคได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขนถ่ายข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ 2 วงจร หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมเชื่อมโยงเครือข่ายในระยะแรกๆ ได้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ และต่อมาได้ขยายไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆ
สำหรับภาคเอกชน ได้มีการก่อตั้งบริษัทสำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เอกชนและบุคคลทั่วไปที่นิยมเรียกกันว่า ISP (Internet Service Providers) หลายราย เช่น ศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย (Internet Thailand) บริษัทเคเอสซีคอมเมอร์เชียลอินเตอร์เน็ตจำกัด (Internet KSC) บริษัทล็อกซเลย์อินฟอร์เมชันจำกัด (Loxinfo) เป็นต้น โดยในการพิจารณาเลือกใช้บริการจาก ISP เอกชนเหล่านี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ
1. อัตราค่าใช้จ่ายโดยรวม ทั้งค่าสมัครเป็นสมาชิกและค่าใช้จ่ายเป็นรายครั้ง รายเดือน หรือรายปี
2. คำนวนคู่สายโทรศัพท์ ว่ามีให้ใช้ติดต่อมากเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้ามีไม่มากก็จะเสียเวลารอคอยนานกว่าจะเชื่อมต่อได้
3. ความเร็วของสายที่ใช้
4. พื้นที่ในการให้บริการ ควรเลือกใช้ ISP ที่อยู่ในจังหวัด หรือพื้นที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า เพราะ ISP ส่วนใหญ่มักให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร