ว่านหางจระเข้
ชื่อทั่วไป : ว่านหางจระเข้
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Aloe barbadensis Mill.
วงศ์ : Liliaceae
การปลูก : ว่านหางจระเข้ปลูกง่าย โดยการใช้หน่ออ่อน ปลูกได้ดีในบริเวณทะเลที่เป็นดินทราย และมีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ดี จะปลูกเอาไว้ในกระถางก็ได้ ในแปลงปลูกก็ได้ ปลูกห่างกันสัก 1-2 ศอก เป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก แต่ต้องมีการระบายน้ำดีพอ มิฉะนั้นจะทำให้รากเน่าและตาย ว่านหางจระเข้ชอบแดดเรไร ถ้าถูกแดดจัดใบจะเป็นสีน้ำตาลแดง
ส่วนที่ใชัเป็นยา : วุ้นจากใบ
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา : เก็บในช่วงอายุ 1 ปี
รสและสรรพคุณยาไทย : รสจืดเย็น โบราณใช้ทาปูนแดงปิดขมับใช้แก้ปวดศีรษะได้
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ : วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น Aloe-cmidin, Aloesin, Aloin, สารประเภท glycoprotein และอื่นๆ ยางที่อยู่ในว่านหางจระเข้มีสาร anthraquinone ทีมีฤทธิ์ขับถ่ายด้วย ใช้ทำเป็นยาดำ มีการศึกษาวิจัยรายงานว่า วุ้นหรือน้ำเมือกของว่านหางจระเข้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และแผลในกระเพาะอาหารได้ดี เพราะวุ้นใบมีสรรพคุณรักษาแผลต่อต้านเชื้อแบคทีเรียช่วยสมานแผลได้ด้วย
และยังนำมาพัฒนารูปแบบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทั้งทางด้านยาและเครื่องสำอางค์ แชมพูสระผม อีกด้วย
และยังนำมาพัฒนารูปแบบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทั้งทางด้านยาและเครื่องสำอางค์ แชมพูสระผม อีกด้วย
สรรพคุณและวิธีใช้ว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ มีความลี้ลับอะไรอยู่หรือ แม้ว่าผู้คนจะนิยมใช้ว่านหางจระเข้กันมาแต่โบราณ แต่สรรพคุณของว่านหางจระเข้ก็ยังมีม่านแห่งความ ลี้ลับปกคลุมอยู่มาตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนาน ผู้เปิดม่านความลี้ลับของว่านหางจระเข้ด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ดร.โซเอดะ โมโมเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิชีวนะสารที่มี ชื่อเสียงของญี่ปุ่น ดร.โซเอดะ เริ่มศึกษาวิจัยว่านหางจระเข้เมื่อ พ.ศ. 2540 โดยเธอได้นำ สารละลายของว่านหางจระเข้มากรอง แล้วนำไปแช่แข็ง จากนั้นก็สกัดให้เป็นผง แล้วจึงสกัดอีกครั้งด้วยน้ำและแอลกอฮอล์ แล้วตรวจวัดทันที ก็พบมีสารตกตะกอนหลายชนิด หนึ่งในผลงานศึกษาของเธอคือ ได้ค้นพบสารใหม่ที่ออกฤทธิ์ของยาของว่านหางจระเข้อีกครั้ง ซึ่งแต่เดิมทราบกันแต่ว่าว่านหางจระเข้มีสารอยู่สองชนิดคือ สารอะโลอิน กับสารอะโลไอโมติน แต่ดร.โซเอดะได้ค้นพบสารใหม่อีก 3 ชนิด สารหนึ่งในสามนี้คือ อะโลติน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา อีกชนิดหนึ่งคือ สารอะโลมิติน มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และสารชนิดสุดท้ายคือ สารอะโลอูรซิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยสมานแผล
การปลูกว่านในเชิงประสบการณ์
การปลูกว่านในเชิงประสบการณ์
การปลูกว่านที่จะให้ผลผลิตดี มีใบที่ เนื้อแน่น และอวบ แต่แข็งแรงนั้น จะใช้หลักประสบการณ์ควบคู่ไปกับหลักวิชาการ เรียกได้ว่า เป็นวิธีการของชาวบ้านที่ไม่เน้น ไม่เคร่งตามแบบหลักวิชาการจนเกินไป
ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีการปลูกว่านอยู่หลายอำเภอ แต่ที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตค่อนข้างดี เช่น ในอำเภอเมือง ที่หมู่บ้านคั่นกระได ตำบลอ่าวน้อย และที่นิคม
ยกตัวอย่างการปลูกว่านตามหลักปะสบการณ์เช่น ตามหลักของนายณรงค์ ศรีสุทานันท์ ที่หมู่บ้านคั่นกระได ตำบลอ่าวน้อย ปลูกว่านหางจระเข้มานานหลายปี และได้ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่าวในการปลูกแต่ไม่เน้นหลักวิชาการมากเกินไป กาบว่านของนายณรงค์ จะมีขนาดใหญ่ อวบ เนื้อแน่น และผลผลิตที่ได้จะส่งเข้าโรงงานเพื่อนำไปแปรรูปเป็นว่านหางจระเข้กระป๋อง ส่งออกทั้งในประเทศและนอกประทศ เคยมีผู้ซื้อจากต่างจังหวัดคือจังหวัดราชบุรีมาขอซื้อพันธุ์ว่านหางจระเข้ เพื่อนำไปเพาะพันธุ์ และซื้อใบว่านเพื่อส่งโรงงาน ยังมีผู้ซื้อจากประเทศญี่ปุ่นมาดูขนาดของต้นว่าน และซื้อไปเพื่อแปรรูป
ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีการปลูกว่านอยู่หลายอำเภอ แต่ที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตค่อนข้างดี เช่น ในอำเภอเมือง ที่หมู่บ้านคั่นกระได ตำบลอ่าวน้อย และที่นิคม
ยกตัวอย่างการปลูกว่านตามหลักปะสบการณ์เช่น ตามหลักของนายณรงค์ ศรีสุทานันท์ ที่หมู่บ้านคั่นกระได ตำบลอ่าวน้อย ปลูกว่านหางจระเข้มานานหลายปี และได้ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่าวในการปลูกแต่ไม่เน้นหลักวิชาการมากเกินไป กาบว่านของนายณรงค์ จะมีขนาดใหญ่ อวบ เนื้อแน่น และผลผลิตที่ได้จะส่งเข้าโรงงานเพื่อนำไปแปรรูปเป็นว่านหางจระเข้กระป๋อง ส่งออกทั้งในประเทศและนอกประทศ เคยมีผู้ซื้อจากต่างจังหวัดคือจังหวัดราชบุรีมาขอซื้อพันธุ์ว่านหางจระเข้ เพื่อนำไปเพาะพันธุ์ และซื้อใบว่านเพื่อส่งโรงงาน ยังมีผู้ซื้อจากประเทศญี่ปุ่นมาดูขนาดของต้นว่าน และซื้อไปเพื่อแปรรูป
ข้อควรระวังในการใช้ว่านหางจระเข้
ผู้ใช้ว่านหางจระเข้ครั้งแรก
ก. สำหรับบาดแผล ก่อนใช้ต้องนำว่านหางจระเข้ไปลวกน้ำร้อนก่อน ผู้ที่มีผิวบอบบาง ให้ใช้เฉพาะส่วนเนื้อวุ้นที่มีฤทธิ์ระคายเคืองค่อนข้างน้อย
ข. ถ้ากินว่านหางจระเข้แล้วอาเจียนและท้องร่วง ควรลดปริมาณลง และถ้ากิน 1 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่หาย ก็ควรหยุดกิน
ค. ผู้ป่วยที่ร่างกายแข็งแรง ให้กินในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหาร ส่วนผู้ป่วยที่ร่างกาย อ่อนแอให้กินหลังอาหาร และผู้ที่กินครั้งแรก ก็ควรกินหลังอาหารด้วย
ง. ควรเริ่มกินในปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนกินได้วันละ 2 ช้อนโต๊ะ
จ. ควรกินตามสภาพสุขภาพร่างกาย เพราะว่านหางจระเข้จะให้สรรพคุณไม่เหมือนกันตามสภาพร่างกายและอาการเจ็บป่วยที่ต่างกัน
ข. ถ้ากินว่านหางจระเข้แล้วอาเจียนและท้องร่วง ควรลดปริมาณลง และถ้ากิน 1 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่หาย ก็ควรหยุดกิน
ค. ผู้ป่วยที่ร่างกายแข็งแรง ให้กินในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหาร ส่วนผู้ป่วยที่ร่างกาย อ่อนแอให้กินหลังอาหาร และผู้ที่กินครั้งแรก ก็ควรกินหลังอาหารด้วย
ง. ควรเริ่มกินในปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนกินได้วันละ 2 ช้อนโต๊ะ
จ. ควรกินตามสภาพสุขภาพร่างกาย เพราะว่านหางจระเข้จะให้สรรพคุณไม่เหมือนกันตามสภาพร่างกายและอาการเจ็บป่วยที่ต่างกัน
ผู้ใช้ว่านหางจระเข้เป็นประจำ
ก. ผู้ที่เกิดอาการลมชัก ควรรีบพาไปให้แพทย์ตรวจรักษา อย่าให้กินว่านหางจระเข้
ข. สตรีในช่วงที่มีรอบเดือนหรือตั้งครรภ์ จะมีเลือดคั่งอยู่ในมดลูกง่าย ทางที่ดีจึงควรเลี่ยงไม่ใช้ว่านหางจระเข้
ค. น้ำคั้นจากใบว่านสดที่แช่ไว้ในตู้เย็น หากมีสีเปลี่ยนไปก็ไม่ควรใช้อีก
ง. ใบว่านไม่ว่าจะเป็นใบสด น้ำคั้นหรือน้ำว่านต้ม ก็ใช้กินได้เป็นประจำ ซึ่งใบสดจะให้ผลดีกว่า
จ. ว่านหางจระเข้ไม่มีฤทธิ์เสพติด จึงใช้ต่อเนื่องได้ โดยไม่ต้องกินมากขึ้นเรื่อยๆ
สรุป
การใช้ว่านหางจระเข้ เป็นที่นิยมใช้อย่างมากจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จนถึงแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ในหลายประเทศ ทั้งในทวีปยุโรปและอเมริกา ก็ได้ให้ความสนใจพืชชนิดนี้เป็นอย่างมาก เพราะสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ของว่านหางจระเข้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ว่านหางจระเข้กลับมาเป็นที่นิยมอย่างมาก นอกจากสรรพคุณที่เรารู้จักกันในการรักษาแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือแผลไฟไหม้แล้ว ว่านหางจระเข้ยังมีสรรพคุณอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ อาทิเช่น รักษาผิวพรรณ รักษาแผลเป็น บำรุงร่างกาย ฯลฯ
ถึงแม้ว่า ว่าหางจระเข้จะมีประโยชน์อย่างมหัศรรษ์ แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังในการใช้ ก็อาจทำให้เกิดโทษได้เช่นกัน จึงควรศึกษาสรรพคุณในการรักษาต่างๆ ปริมาณที่ใช้ ตลอดจนระมัดระวังในการใช้ หรือปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้ เพราะจะทำให้เราได้รับประโยชน์จากว่านหางจระเข้อย่างสูงสุด และไม่ก่อให้เกิดโทษ
ถึงแม้ว่า ว่าหางจระเข้จะมีประโยชน์อย่างมหัศรรษ์ แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังในการใช้ ก็อาจทำให้เกิดโทษได้เช่นกัน จึงควรศึกษาสรรพคุณในการรักษาต่างๆ ปริมาณที่ใช้ ตลอดจนระมัดระวังในการใช้ หรือปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้ เพราะจะทำให้เราได้รับประโยชน์จากว่านหางจระเข้อย่างสูงสุด และไม่ก่อให้เกิดโทษ
ที่มา ; www.thaigoodview.com/library/studentshow/