วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553



เล่น Chat ต้องระวังอะไรบ้าง


เป็นที่รู้กันว่า สำหรับเยาวชน ความน่าหลงใหลของอินเทอร์เน็ต นอกจากจะมีเกมออนไลน์แล้ว ยังมีการพูดคุยกัน หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่าการ แชท (Chat) นั่นเอง
การแชท (Chat) คือการพิมพ์ข้อความคุยกันโดยผ่านโปรแกรมสำหรับแชทโดยเฉพาะ เช่น Pirch, ICQ, Msn Messenger ฯลฯ หรือผ่านห้องสนทนาในเวบไซต์ต่างๆ จุดประสงค์ส่วนใหญ่ของผู้ใช้ มีทั้งการหาเพื่อนคุยแก้เหงา หรือแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในเรื่องที่สนใจเหมือนกัน การแชท จึงมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้ว่าจะเลือกใช้


ประโยชน์จากการสนทนาออนไลน์นี้แบบใด


การพูดคุยหาเพื่อนใหม่ เป็นสิ่งที่ดีถ้าเป็นการคุยเพื่อแก้เหงา หรือคุยในเรื่องที่ชื่นชอบด้วยกัน แต่ถึงแม้จะคุยกันถูกคอแค่ไหน ก็ยังไม่ควรไว้ใจ เพราะเรายังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างไร และเขาสามารถสร้างตัวตนให้เราเชื่อได้ เพียงแค่มีมือ และสมองเท่านั้นเอง หากชอบChat ก็อย่าลืมอันตรายที่อาจมาถึงตัวได้ทุกขณะ จึงมีข้อควรระวังมาฝากกันค่ะ

1.สังเกตให้ดีหากมีคนเข้ามาคุยและ ถามโน่นถามนี่มากๆ โดยไม่บอกอะไรเลย หรือถ้าบอกก็อาจเชื่อถือไม่ได้ คำถามที่โดนถามมักจะเป็นคำถามส่วนตัวมากๆ เช่น ชอบสินค้ายี่ห้อไหน ทีมไหน ขอรูป ขอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ ถามอีเมล์หรือชื่อโรงเรียน จงตั้งข้อสังเกตในแง่ร้ายไว้ก่อน โดยเฉพาะหากคู่สนทนาให้ของกำนัลหรือข้อเสนออะไรดีๆ หรือแสดงท่าทีว่าสนใจคุณมากๆ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุลจริง เบอร์โทรศัพท์หรือรูปถ่ายแก่คนที่เราคุยด้วย เพราะถ้าโชคไม่ดีคนที่เราคุยด้วยเป็นมิจฉาชีพ เขาสามารถนำข้อมูลส่วนตัวเราไปสร้างความเสียหาย หรือเอารูปเราไปตัดต่อได้

2.คนที่เราคุยด้วยอาจขอนัดพบเป็นการส่วนตัว แนะนำว่า ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ อย่านัดเจอเพื่อนที่แชทคุยกัน หรือถ้าจะไปเจอกัน ควรหาเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน เพื่อความปลอดภัย และเผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกันได้

3.ไม่ว่าจะคุยกับใคร อย่าปักใจเชื่อสิ่งที่เขาบอกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา อายุ หรือสถานภาพอื่นๆ เพราะทุกอย่างสามารถสร้างขึ้นได้ และคนที่เราคุยด้วยอาจมีเจตนาไม่ดี อาจจะล่อลวงเราไปทำมิดีมิร้าย อย่างที่ได้ยินข่าวอาชญากรรมจากการนัดหมายออนไลน์ เกิดขึ้นหลายคดี ซึ่งเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี

4.เมื่อพบความผิดปกติในการพูดคุยกัน เช่น มีข้อความที่ส่อไปทางเรื่องเพศ หรือ ขอนัดเจอตามลำพัง ให้ตั้งข้อสงสัย และหาทางหลีกเลี่ยงทันที


เว็บไซต์หลายแห่ง เปิดโอกาสให้Chatได้อย่างปลอดภัย เพราะมีผู้ดูแลรับผิดชอบการคุยในห้องสนทนา ทั้งยังมีโปรแกรมตรวจสอบข้อความที่เด็กๆ พิมพ์หากันด้วย ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการพูดคุยสอบถามกันในเรื่องส่วนตัว ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้ลูกใช้ห้องสนทนาประเภทนี้ และเยาวชนควรท่องจำวิธีการ Chatแบบไม่เสี่ยง ให้ขึ้นใจ ดังนี้CHAT แต่ละตัวอักษรมาจาก:C: Careful จงระมัดระวังคนที่คุยด้วย เขาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอกH: Hang on to your personal information ไม่บอกข้อมูลส่วนตัวA: Arranging to meet [offline] is dangerous ไม่นัดพบกับคนแปลกหน้าT: Tell an adult if you come across something that makes you feel uncomfortable บอกผู้ใหญ่หากเจออะไรที่ไม่ชอบมาพากล

จำไว้ว่า ทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวมันเอง การแชทก็เหมือนกัน ถ้าเราได้เพื่อนดี ก็ดีไป ได้ประสบการณ์ ความรู้ ได้มีสังคมใหม่ๆ แต่ถ้าโชคร้าย เราก็อาจตกเป็นเหยื่อของคนแปลกหน้าได้...อย่างที่โบราณว่าไว้... รู้หน้ายังไม่รู้ใจ แล้วประสาอะไรกับคนที่เรายังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เลย แม้แต่ครั้งเดียว


ทำความรู้จักกับ อีเมล์ (E-Mail) และวิธีการใช้งานในเบื้องต้น



อีเมล์ E Mail หรือ Electronics Mail แปลตรง ๆ ตัวก็คือ ไปรษณีย์อีเลคโทรนิคส์ นั่นเอง ดังนั้น ความหมายง่าย ๆ ของอีเมล์ ก็คือ เป็นเครื่องมือสำหรับติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันโดยที่จากเดิม เราอาจจะใช้วิธีการส่งข้อความ ไปหาผู้อื่นด้วยการเขียนเป็นจดหมาย และส่งผ่านทางไปรษณีย์ แต่ในโลกของอินเตอร์เน็ต จะมีบริการที่เรียกว่า อีเมล์ ซึ่งสามารถทำการส่งข้อความต่าง ๆ ไปยังผู้รับปลายทาง (ที่ใช้บริการอีเมล์) ได้ และในปัจจุบันนี้ ยังสามารถทำการแนบ ไฟล์เอกสาร ของคอมพิวเตอร์ หรือรูปภาพต่าง ๆ ไปอับอีเมล์ได้ด้วย จึงทำให้เพิ่มความ สะดวกสบายได้มากขึ้น หากคุณเป็นผู้หนึ่ง ที่ใช้งานหรือเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว ก็ควรที่จะหาสมัครใช้บริการ อีเมล์ ทิ้งไว้สักชื่อหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็พอที่จะเอาไปอวดใคร ๆ ได้ว่า ฉันก็มีอีเมล์เหมือนกันนะ


โครงสร้างและรูปแบบของชื่ออีเมล์ในเบื้องต้น



ถ้าใครได้เคยเห็นรูปแบบ และชื่อของอีเมล์มาบ้างแล้ว ลองมาทำความเข้าใจกับ ระบบการตั้งชื่ออีเมล์กันก่อน สมมติว่าใครคนหนึ่ง บอกอีเมล์ของเขามาว่า somchai@hotmail.com (อ่านออกเสียงว่า สมชาย-แอต-ฮอทเมล์ ดอทคอม) เครื่องหมาย @ จะออกเสียงว่า "แอต" ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ใช้คั่นอยู่ระหว่าง ชื่อและ server ของอีเมล์นั้น ๆ เสมอ ชื่อของ server ที่ลงท้ายนี้ อาจจะเปลี่ยนไปได้ตามชื่อของ server ที่เปิดให้บริการอีเมล์นั้น ๆ ด้วยเช่น อาจจะลงท้ายด้วย @yahoo.com @thailand.com @mail.com หรืออะไรก็ได้ครับ ที่มีเปิดให้บริการ
ประเภทต่าง ๆ ของอีเมล์ ที่มีเปิดให้บริการฟรี
เว็บไซต์ที่ให้บริการ ฟรีอีเมล์ มีอยู่มากมาย แต่ถ้าหากจะแยกประเภทของการใช้งาน สามารถแยกออกได้เป็น 2 แบบดังนี้
Web Base Mail เช่น อีเมล์ของ hotmail.com, chaiyo.com หรือ email.in.th ซึ่งหากต้องการใช้งานอีเมล์เหล่านี้ จะต้องใช้งานโดยผ่านทางหน้าเว็บเพจเท่านั้น ข้อดีคือ สามารถไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไหนเปิดอ่านอีเมล์นั้นก็ได้ โดยการเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์นั้น ไม่ต้องทำการตั้งค่าต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก แต่อาจจะช้าและเสียเวลานาน ในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์ ขอ้ดีของบริการอีเมล์แบบ Web Base Mail คือ ไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมต่าง ๆ ในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์ ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์
POP Mail เช่น yahoo.com จะมีบริการการอ่านอีเมล์แบบ POP Mail ได้ด้วย ซึ่งโดยส่วนมากก็มักจะใช้งานในลักษณะของ เว็บเมล์ได้ด้วย หากเราเลือกใช้งานอีเมล์ที่มีบริการ POP Mail ก็จะทำให้สามารถตั้งโปรแกรมสำหรับ รับ-ส่งอีเมล์ทั่ว ๆ ไปเช่น Outlook ให้ทำการอ่านอีเมล์แบบนี้ได้ และจะเป็นการสะดวกมากกว่าการใช้งานแบบ Web Base Mail มากครับ แต่ก็ต้องทำการตั้งค่าต่าง ๆ ของโปรแกรมที่ใช้รับ-ส่งอีเมล์ก่อน จึงจะใช้งานได้ โดยที่เมื่อทำการต่อหรือเปิดโปรแกรม สำหรับการอ่านอีเมล์ โปรแกรมจะต้องทำการ ดาวน์โหลด อีเมล์ทั้งหมดมาเก็บไว้ใน ฮาร์ดดิสก์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน ทำให้เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ไปบางส่วน แต่ว่าการอ่าน จะสามารถทำได้รวดเร็วและสะดวกกว่าการใช้ Web Base Mail
มาทำความรู้จักความหมายย่อ ๆ ของคำที่เกี่ยวกับเมล์กันก่อน


SMTP (Simple Mail Transfer Protocol)
เป็นโปรโตคอลแบบ TCP/IP ที่ใช้ในการรับส่ง email ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องของความสามารถในการรับส่ง mail ว่ามันสามารถทำได้แบบเป็นคิวเท่านั้น จึงทำให้เกิดโปรโตคอลที่จะมาแก้ไขในเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ POP กับ IMAP แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่า SMTP จะมีข้อจำกัดในการรับ mail แต่สำหรับการส่ง mail หลาย ๆ โปรแกรมก็ยังคงนิยมใช้ SMTP ในการส่ง mail อยู่เช่นเดิม
POP (Post Office Protocol)
เป็นโปรโตคอลที่ใช้รับ mail ซึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็น POP version 3 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า POP3 ซึ่งจะมีการทำงานแบบ Store-and-Forward ซึ่งไม่ควรนำไปสับสนกับ SMTP เพราะ POP จะใช้ในการรับ mail เท่านั้น ส่วน SMTP จะใช้ในการส่ง mail
IMAP (Internet Message Access Protocol)
เป็นโปรโตคอลที่ใช้สำหรับรับ mail จาก server ซึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ IMAP version 4 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IMAP4 ซึ่งจะมีความสามารถในการเลือกเฉพาะ header กับ sender หรือสิ่งที่เราต้องการได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือก download เฉพาะ mail ที่เราต้องการได้ด้วย แต่ IMAP ก็ต้องอาศัยการติดต่อกับ server มากกว่า POP
อินเตอร์เน็ต (Internet)
คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อ TCP/IP ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสาร (เช่น การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail การส่งผ่านเอกสารซึ่งอยู่ในรูปแบบแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์) และการใช้ทรัพยากรร่วมกัน อันได้แก่ ทรัพยากรสารสนเทศ (Information) ทรัพยากรฮาร์ดแวร์ (Hardware) ทรัพยากรซอฟแวร์ (Software) และ ทรัพยากรบุคคล (Peopleware) เป็นต้น เครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าของ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นของทุกคนที่เข้ามาเชื่อมต่อการจัดการเครือข่ายเป็นความร่วมมือซึ่งกันและกัน โดยต่างคนต่างดูแลจัดการเครือข่ายของตนเอง และมีองค์กรกลาง ชื่อ ISOC (Internet Society) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อความร่วมมือและการประสานงานของเครือข่ายและเทคโนโลยีการเชื่อมต่อตลอดจนการประยุกต์ใช้งานของเครือข่ายทั่วโลก องค์กรนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม
อินเตอร์เน็ต เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งเดียว ที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลก เข้าด้วยกันโดยรวมผู้ใช้กว่า 60 ล้านคน เพื่อประกอบกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ การพูดคุยสนทนา การสื่อสารข้อมูลการแลกเปลี่ยนข่าวสารความรู้ การค้าขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ การศึกษาทางไกล ฯลฯ เมื่อครั้งที่อินเตอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้นนั้นไม่มีใครเคยคาดคิดว่ามันจะกลายมาเป็นเครือข่าย ที่มีบทบาทกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน จนถึงขนาดที่กำลังจะปฏิวัติวิธีการดำเนินชีวิตของประชากรโลกในศตวรรษหน้า กล่าวคือเมื่อ 20 ปีก่อน กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้มีมติด่วนให้พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า ARPANET จุดมุ่งหมายคือให้เป็นเครือข่ายที่มีความเชื่อถือได้สูงสามารถที่จะทำงานได้ แม้ภายหลังที่อเมริกาถูกถล่มโดยอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นเทคโนโลยีที่ใช้เชื่อมเครือข่ายต้องมีความสามารถที่จะทำงานกับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่เหลือจากการทำลายของอาวุธนิวเคลียร์ เช่น หากโครงข่ายโทรศัพท์ และ เคเบิลถูกทำลายในบางพื้นที่ เครือข่ายจะยังคงทำงานได้โดยการสลับมาใช้โครงข่ายอื่น เช่น โครงข่ายดาวเทียม หรือวิทยุ เป็นต้น นอกจากนั้นเทคโนโลยีดังกล่าวต้องมีความสามารถในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างประเภทและต่างรุ่นที่มีอยู่ทั่วไปตามฐานทัพต่าง ๆ ในครั้งนั้นการพัฒนาเครือข่าย ARPANET ได้กระทำร่วมกันระหว่างกระทรวงกลาโหมกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานสำคัญ ๆ เช่นองค์การ NASA ทำให้ ARPANET เริ่มเติบโตโดยเริ่มมีการใช้งานมากขึ้นสำหรับการศึกษาและการวิจัย ถึงแม้จะเริ่มมีการพัฒนาเครือข่ายอื่น ๆ เช่น DECNET และ BITNET ขึ้นมาเป็นคู่แข่ง แต่เพราะข้อดีของARPANET ที่เป็นระบบเปิด ไม่จำกัดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทใด ประเภทหนึ่ง หรือ โครงข่ายเชื่อม (Physical Links) แบบใดแบบหนึ่งทำให้มันเอาชนะคู่แข่งและกลายมาเป็นตัวเชื่อมเครือข่ายอื่น ๆ ที่เข้ากันไม่ได้ ให้สามารถคุยกันรู้เรื่อง ด้วยเหตุนี้ทำให้ ARPANET ถูกพัฒนามาเป็นเครือข่ายของเครือข่าย หรือ อินเตอร์เน็ต (internet) ในที่สุด

ข้อดีของการที่เป็นระบบเปิด คือ สามารถใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อได้หลายแบบทั้ง ไมโครเวพ ดาวเทียม โทรศัพท์ เคเบิล ใยแก้วนำแสง หรือแม้แต่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่และสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบใดก็ได้ รวมทั้งยังบริหารง่ายคือ ผู้ใช้ออกค่าใช้จ่ายเฉพาะส่วนของตน ทำให้อินเตอร์เน็ตขยายตัวง่ายในขณะที่ความซับซ้อนของงานไม่เพิ่มขึ้นเท่าใรนัก ความง่ายในการขยายเครือข่ายและการใช้งานได้ทำให้อินเตอร์เน็ต เริ่มได้รับความนิยมนอกประเทศสหรัฐอเมริกาจนกลายมาเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงทั่วโลก

การใช้งานอินเตอร์เน็ตในยุคแรก ๆ ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ ในวงการศึกษาวิจัย และการทหารเป็นหลัก ไม่ได้มีการใช้ในเชิงพาณิชย์ อย่างกว้างขวางเหมือนในปัจจุบันจุดเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1992 นักวิทยาศาสตร์แห่งศูนย์ค้นคว้าวิจัยทางฟิสิกส์ CERN ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการพัฒนาเทคโนโลยีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างศูนย์ลูกข่ายที่ตั้งอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรปให้สะดวกและรวดเร็วขึ้นโดยอาศัยระบบอินเตอร์เน็ตที่มีอยู่เดิม เพียงแต่มีวิธีติดต่อผู้ใช้ (User-Interface) ที่ใช้ง่ายขึ้นเทคโนโลยีดังกล่าวอาศัยพื้นฐานการทำงานที่เรียกว่า Hypertext ที่สามารถเชื่อมโยงเอกสารที่อยู่หลาย ๆ แห่ง ซึ่งอาจอยู่บนคอมพิวเตอร์คนละเครื่องเข้าด้วยกันจนคล้ายกับว่ามีเอกสารอยู่ที่เดียว ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ถูกเรียกว่า HTML (HyperText Mark-up Language) ในเวลาต่อมาได้มีการเชื่อมโยงสื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่เอกสารเช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ฯลฯ จนเกิดเป็นลักษณะของ Hypermedia ขึ้น จากการที่ระบบดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงเอกสารจากหลาย ๆ แห่งเข้าด้วยกัน มันจึงถูกขนานนามว่า World Wide Web (WWW) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า WEB ในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553


ความหมายของอินเตอร์เน็ต

“อินเตอร์เน็ต” มาจากคำว่า International Network เป็นเครือข่ายของการสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกัน
คำว่า “เครือข่าย” หมายถึง
1. การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล (ทางตรง) และหรือสายโทรศัพท์ (ทางอ้อม)
2. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์
3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน
2. หน้าที่และความสำคัญของอินเตอร์เน็ต
การสื่อสารในยุคปัจจุบันที่กล่าวขานกันว่าเป็นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของทุกหน่วยงาน และอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเต็มที่
อินเตอร์เน็ต ถือเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐานการสื่อสารเดียวกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารและสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวมสารสนเทศจากทุกมุมโลก ทุกสาขาวิชา ทุกด้าน ทั้งบันเทิงและวิชาการ ตลอดจนการประกอบธุรกิจต่างๆ
อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย

ประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เน็ตในพ.ศ. 2535 โดยเริ่มที่สำนัก วิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาทีจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2536 เนคเทคได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขนถ่ายข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ 2 วงจร หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมเชื่อมโยงเครือข่ายในระยะแรกๆ ได้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ และต่อมาได้ขยายไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆ
สำหรับภาคเอกชน ได้มีการก่อตั้งบริษัทสำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เอกชนและบุคคลทั่วไปที่นิยมเรียกกันว่า ISP (Internet Service Providers) หลายราย เช่น ศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย (Internet Thailand) บริษัทเคเอสซีคอมเมอร์เชียลอินเตอร์เน็ตจำกัด (Internet KSC) บริษัทล็อกซเลย์อินฟอร์เมชันจำกัด (Loxinfo) เป็นต้น โดยในการพิจารณาเลือกใช้บริการจาก ISP เอกชนเหล่านี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ
1. อัตราค่าใช้จ่ายโดยรวม ทั้งค่าสมัครเป็นสมาชิกและค่าใช้จ่ายเป็นรายครั้ง รายเดือน หรือรายปี
2. คำนวนคู่สายโทรศัพท์ ว่ามีให้ใช้ติดต่อมากเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้ามีไม่มากก็จะเสียเวลารอคอยนานกว่าจะเชื่อมต่อได้
3. ความเร็วของสายที่ใช้
4. พื้นที่ในการให้บริการ ควรเลือกใช้ ISP ที่อยู่ในจังหวัด หรือพื้นที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า เพราะ ISP ส่วนใหญ่มักให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร